วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

10 ไอเทม เพื่อรักแร้ขาวเนียน

สาวๆมีปัญหาเหมือนกันรึเปล่าคะ เรื่องใต้วงแขนเนี้ยะ เป็นปัญหาอย่างมากเลยค่ะ ทำไงดีน๊า วันนี้มีไอเทม มาแนะนำสาวๆกันค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง



1.โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง

เมื่อเรานำโยเกิร์ตและน้ำผึ้งมาผสมกัน ก็จะสามารถช่วยกำจัดผิวคล้ำเสียออกไปได้เช่นกัน วิธีทำก็ง่ายๆ หลังจากที่ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งเข้าด้วยกันแล้ว นำมาทาลงที่ใต้วงแขน นวดเพียงไม่กี่นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ผิวใต้วงแขนก็นุ่มขึ้นแล้วจ้า


2.แป้ง

การทาแป้งจะช่วยให้ใต้วงแขนหรือรักแร้แห้ง ไม่อับชื้น เพราะเหงื่อจะทำให้เกิดการเสียดสีมากขึ้น



3.ปิโตรเลียมเจล

ปิโตรเลียมเจล ใช้ทาเพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังใต้วงแขนได้ ซึ่งก็จะช่วยให้ผิวใต้วงแขนไม่ดำหรือคล้ำเสียค่ะ



4.สารส้ม

เป็นตัวช่วยในการดูแลรักแร้ที่ใช้กันมานานมาก ซึ่งนอกจากจะช่วยระงับกลิ่นกายแล้ว เมื่อใช้เป็นประจำทุกวัน จะทำให้รักแร้ขาวใสขึ้นได้อีกด้วย วิธีการใช้ก็ง่ายๆ หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ ให้ทาสารส้มลงบนผิวใต้วงแขนที่กำลังเปียกหมาดๆ แล้วสารส้มก็จะแห้งซึมไปเองค่ะ



5.ครีมวงแขนขาว นิวเจน (เต่าเหยียบโลก)

ครีมตัวนี้จะช่วยบำรุงผิวที่คล้ำเสียใต้วงแขนหรือรักแร้ของเรา ให้กลับมาดูขาวและกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



6.ครีมพะเยา

หลายคนนำเอาครีมพะเยามาใช้ในการขัดหน้า ขัดตัว เพื่อให้ผิวพรรณกระจ่างใส ซึ่งหลังจากใช้แล้ว ผิวดีและนุ่มขึ้นจริงๆ จึงมีการแนะนำให้เอามาขัดใต้วงแขนด้วย เพราะเป็นบริเวณที่ผิวมีการเสียดสีอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทำการกำจัดเซลล์ผิวที่คล้ำเสียให้ออกไป และฟื้นฟูผิวใต้วงแขนให้ดีขึ้น



7.Vaseline Day Serum White & Smooth

Vaseline Day Serum ตัวนี้เป็นครีมรักแร้ขาว ช่วยให้ผิวใต้วงแขนนั้นกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น รวมถึงยังช่วยในเรื่องของความกระชับ ด้วยส่วนผสมเฉพาะตัวของคอลลาเจน กลีเซอรีน และโอเมก้า 6 แถมยังระงับกลิ่นกายได้นานถึง 48 ชม.ด้วยนะคะ



8.Oriental Princess Underarm Care Pure White Secret Cream

ตัวนี้เป็นครีมรักแร้ขาวที่ค่อนข้างฮิตในหมู่สาวๆ จาก Oriental Princess ซึ่งมีรีวิวให้เห็นในโลกออนไลน์เยอะมาก! มีสารสกัดจากธรรมชาติหลายตัว ได้แก่ ลูกพลับญี่ปุ่น น้ำนมจากพืชธรรมชาติ ช่วยระงับกลิ่นกายและยังฟื้นฟูปัญหาผิวใต้วงแขน ที่เกิดจากการโกนให้เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นค่ะ



9.H.A.B + Essence-Ex Whitening Armpit

มาถึงตัวที่ 9 แล้วจ้า! ตัวนี้เป็น Essence ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอีกเช่นกันค่ะ และยังสามารถช่วยให้รอยดำดูจางลง รวมทั้งกระชับรูขุมขน และแก้ปัญหาผิวหนังไก่ได้อีกด้วย เพียงแค่พ่น Essence ลงบนสำลี หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ เช็ดที่ใต้วงแขนให้ทั่ว เช้า-เย็น จะเห็นรอยดำบนสำลีชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้เลยค่ะ



10.Under Arm หรือ Q-Uarm – Doctorlife Clinic

Q-Uarm จะเป็นการทำเลเซอร์รักแร้ขาว ซึ่งทาง Doctorlife Clinic ก็ได้มีไว้ให้บริการ สำหรับลูกค้าทุกท่านที่ต้องการความเร่งด่วน อยากดูแลรักแร้ให้ขาวเรียบเนียนแบบเห็นผลไว ซึ่งหลังจากทำ Q-Uarm เสร็จแล้ว เราก็สามารถที่จะโชว์รักแร้ขาวเนียนได้อย่างมั่นใจทันทีเลยค่ะ แล้วตอนนี้เค้าก็มีโปรโมชั่นด้วยนะคะสาวๆ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พฤติกรรมเอามือจับหน้า เลิกเถอะ ถ้าไม่อยากให้สุขภาพและผิวพัง

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

พฤติกรรมเอามือจับหน้า เลิกเถอะ ถ้าไม่อยากให้สุขภาพและผิวพัง


หนึ่งในพฤติกรรมที่หลายๆ คนมักจะเผลอทำบ่อยและส่งผลเสียต่อผิวก็คือ การเอามือไปสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ นั่นเอง บางคนอาจจะไม่ใช่แค่เอามือไปแตะผิวหน้าเฉยๆ หากแต่ยังมีพฤติกรรมการแกะและเกาผิวอย่างรุนแรง จนนำมาสู่ผลเสียต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิวหรือเสี่ยงต่อการรับเอาไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้อีกด้วย และการเอามือไปสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ก็ทำให้เกิด 4 ผลเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนดังนี้



1.เสี่ยงต่อการเป็นหวัดได้ง่าย

จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิท-19 มีการรณรงค์ไม่ให้เอามือไปสัมผัสใบหน้า อีกทั้งยังให้ความสำคัญในเรื่องของการล้างมืออีกด้วย นั่นเพราะมือคืออวัยวะที่สัมผัสกับสิ่งต่างๆ อย่างมากมาย

การเผลอเอามือไปสัมผัสใบหน้าจึงไม่สามารถเลี่ยงต่อการนำเอาเชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปาก และตาได้เลย และการเอามือไปโดนบริเวณใบหน้าจึงถือเป็นเรื่องง่ายต่อการทำให้เป็นหวัด เนื่องจากร่างกายได้รับไวรัสจากมือที่ไม่สะอาดไปสัมผัสใบหน้านั่นเอง

2.ส่งผลทำให้สิวเกิดอาการอักเสบ                   

ทราบหรือไม่ว่าผลเฉลี่ยจากการที่คนเราเอามือไปสัมผัสใบหน้านั้น นับเป็น 3.6 ครั้งต่อชั่วโมงกันเลยทีเดียว และการเอามือไปสัมผัสที่บริเวณผิวหน้าจึงไม่แปลกที่จะทำให้สิวมีอาการอักเสบขึ้นมาได้ บางครั้งอาจจะสงสัยว่าอยู่ดีๆ ทำไมสิวอักเสบขึ้นมา ทั้งที่ไม่ได้ทานอาหารประเภทแสลงหรือ

ออกไปสัมผัสกับแดดฝุ่นข้างนอก แต่ลืมไปว่าตัวเองมักเอามือไปลูบใบหน้าบ่อยมาก ซึ่งมือก็ผ่านการจับโทรศัพท์มือถือ จับประตู จับนั่นจับนี่ ซึ่งถือเป็นแหล่งเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระตุ้นการเกิดสิวอักเสบ แนะนำว่าอย่าเอามือไปสัมผัสใบหน้าเด็ดขาด


3.ทำให้เกิดแผลเป็นจนหมดความมั่นใจ

หนึ่งในพฤติกรรมที่ตามมาหลังจากเอามือไปสัมผัสใบหน้าก็คือการเกาและแกะสิวนั่นเอง บางคนไม่มีสิวแต่พอรู้สึกคันผิวหน้าก็ชอบเกาแรงๆ บ้างก็แกะจนผิวเกิดอาการอักเสบ และสิ่งที่ตามมาก็คือแผลเป็นบนผิวหน้า ซึ่งแน่นอนว่าการมีแผลเป็นบนบริเวณใบหน้าย่อมทำให้หมดความมั่นใจลงไปเยอะเลยทีเดียว

4.สูญเปล่าไปกับการทาครีมบำรุงผิว

ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ให้ความสำคัญกับการทาครีมบำรุงผิวมากแค่ไหน หากชอบเอามือไปสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ย่อมทำให้ครีมบำรุงหลุดไปหมดได้ หรือแม้แต่การใช้เวลาไปกับการเมคอัพในลุคที่ชอบเพื่อเติมความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คน ก็ทำให้เมคอัพค่อยๆ หายไปหมด ยิ่งถ้าเจอกับสภาพอากาศที่ร้อน แล้วยังเอามือไปจับผิวหน้าบ่อยๆ ก็บอกลาทั้งครีมบำรุงและเมคอัพราคาแพงไปได้เลย

เข้าใจว่าการเอามือไปสัมผัสกับผิวหน้าถือเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างควบคุมได้ยาก บางทีอยู่เฉยๆ มารู้ตัวอีกทีมือไปอยู่บนแก้ม บนจมูก บนหน้าผากไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงต้องพยายามรักษาความสะอาดของมือบ่อยๆ พร้อมทั้งค่อยๆ ควบคุมมือตัวเองเพื่อไม่ให้ไปจับต้องผิวหน้าไปพร้อมกัน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วิธีทาลิปสติกแบบผิดๆ อาจทำให้คุณดูแก่ได้

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

วิธีทาลิปสติกแบบผิดๆ อาจทำให้คุณดูแก่ได้



ลิปสติก เครื่องสำอางที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับริมฝีปาก ทั้งยังช่วยเปลี่ยนลุค เปลี่ยนสไตล์ของคุณสาว ๆ ได้อย่างหลากหลาย แต่สาว ๆ หลายคนอาจเคยประสบปัญหาทาลิปสติกออกมาไม่สวย ไม่ปัง ทำเอาเมคอัพลุคพังไม่มีชิ้นดี แถมยังรู้สึกหน้าหม่นหมองไม่เหลือความมั่นใจ เดิน ๆ ไป

ยังมีคนมาทักว่าหน้าแก่คราวป้าอีกต่างหาก เล่นทำเสียเซลฟ์จนหมดกำลังใจ ซึ่งหากสาว ๆ คนไหนเคยเจอกรณีแบบนี้ แสดงว่าวิธีทาลิปสติกที่คุณใช้อยู่เป็นวิธีที่ผิดแล้วล่ะค่ะ

1. ไม่ได้ขัดริมฝีปาก

          ริมฝีปากก็ต้องการการดูแลไม่แพ้กับผิวพรรณ ฉะนั้นถ้าคุณสาว ๆ อยากให้ริมฝีปากดูอิ่มเอิบและพร้อมสำหรับการทาลิปสติก ก็ควรหมั่นสครับริมฝีปาก โดยขัดเบา ๆ เป็นประจำหลังอาบน้ำด้วยแปรงสีฟัน หรืออาจใช้น้ำตาลที่ผสมกับน้ำผึ้งและวาสลีนขัดนวดริมฝีปากเบา ๆ แล้วล้างออกให้สะอาด

2. ปล่อยให้ริมฝีปากแห้ง

          ไม่เพียงแต่จะขัดริมฝีปากเพื่อขัดเซลล์ผิวเก่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สาว ๆ ก็ควรหมั่นบำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอด้วยการทาลิปมัน จะช่วยให้ทาลิปสติกได้อย่างเรียบเนียน เพราะหากริมฝีปากแห้งแล้วเวลาทาลิปสติกลงไป นอกจากสีลิปจะเป็นคราบไม่สม่ำเสมอแล้ว ยังทำให้หน้าดูแก่อีกด้วยค่ะ

3. ไม่ได้ทาลิปไพรเมอร์

          สาว ๆ หลายคนอาจมองข้ามขั้นตอนการทาลิปไพรเมอร์ไป เพราะคิดว่าไม่สำคัญเท่าไรนัก ซึ่งความจริงแล้วลิปไพรเมอร์ ถือเป็นไอเทมสำคัญที่ช่วยให้ริมฝีปากเรียบเนียน ทาลิปสติกได้ง่ายและไม่ตกเป็นร่อง แถมยังทำให้ลิปสติกติดทนนานด้วยค่ะ

4. ทาลิปสติกจากแท่งโดยตรง

          จริง ๆ แล้ว การทาลิปสติกจากแท่งโดยตรง ก็ไม่ใช่วิธีที่ผิดเสียทีเดียวค่ะ เพียงแต่อาจเลอะเปรอะเปื้อนริมฝีปากได้ง่ายกว่าการใช้แปรงทาลิปสติก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สาว ๆ สามารถเกลี่ยสีลิปได้สวยเรียบเนียนและสม่ำเสมอ ไม่ทำให้ลิปสติกดูหนาเกินไป

5. ไม่ใช้ดินสอเขียนขอบปาก

          ดินสอเขียนขอบปาก อีกหนึ่งไอเทมที่เราอาจมองข้ามไป ซึ่งความจริงแล้วดินสอเขียนขอบปากนี่แหละที่จะช่วยให้สาว ๆ ทาลิปสติกได้สวยปังยิ่งขึ้น เพราะเป็นตัวช่วยกำหนดพื้นที่ในการทาลิปสติกไม่ให้เลยเส้นขอบปาก

ทำให้ทรงของริมฝีปากดูชัดเจน โดดเด่น แถมยังดูสวยเนี้ยบ ไฮโซสุด ๆ โดยดินสอขอบปากที่เลือกใช้ ควรมีเฉดสีที่เข้มกว่าสีลิปสติกเล็กน้อย จะช่วยให้ริมฝีปากดูมีมิติขึ้นค่ะ

6. เลือกเฉดสีลิปสติกไม่เข้ากับสีผิว

          หากสาว ๆ อยากทาลิปสติกให้สวยดูดีมีเสน่ห์ สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยก็คือควรเลือกสีลิปสติกให้เข้ากับสีผิวของตัวเอง ซึ่งจะช่วยขับผิวของคุณให้ดูสวยยิ่งขึ้น โดยสาวที่มีผิวขาวจะเหมาะกับลิปสติกโทนเย็น เช่น สีชมพู สีส้ม หรือสีแดง หลีกเลี่ยงลิปสีเข้ม ๆ

ส่วนสาวที่มีผิวสองสีเหมาะกับลิปสติกโทนอุ่นและสว่าง เช่น สีชมพูอมแดง สีแดงอมม่วง ไม่ควรเลือกสีลิปที่เข้มมากเกินไป และสำหรับสาวผิวคล้ำนั้น ให้เลือกเฉดสีเข้ม ๆ อย่างเฉดสีน้ำตาล และเฉดสีม่วง เช่น แดงน้ำตาล สีนู้ดน้ำตาล สีช็อกโกแลต เป็นต้น

7. เลือกสีลิปสติกไม่เหมาะกับรูปปาก

          อย่าคิดว่ารูปปากแบบไหน จะทาลิปสติกสีอะไรก็ได้ เพราะความจริงแล้ว สีลิปสติกจะเป็นตัวเน้นริมฝีปากให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งหากสาว ๆ คนไหนมีริมฝีปากค่อนข้างใหญ่และหนาละก็ แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงลิปสติกโทนสีอ่อน หรือสีนู้ด รวมไปถึงการใช้ลิปกลอส

เพราะจะทำให้ปากดูเจ่อและใหญ่มากขึ้น โดยควรเลือกใช้ลิปสติกเฉดสีเข้มแทนค่ะ ส่วนสาวปากบางนั้น ควรหลีกเลี่ยงลิปสติกสีเข้ม ๆ แต่ให้ใช้ลิปสติกโทนสีอ่อน จะช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้นค่ะ

8. ไม่ได้เซตลิปสติก

          อีกหนึ่งขั้นตอนที่สาว ๆ มักปล่อยปละละเลย เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ซึ่งความจริงแล้ว การเซตลิปสติกหลังทาลิปเสร็จนั้นจะช่วยให้สีลิปสติกอยู่ทนนานมากขึ้น

โดยให้ใช้กระดาษทิชชู่ซับลงบนริมฝีปาก จากนั้นปัดแป้งฝุ่นผ่านกระดาษทิชชู่ จะช่วยเซตลิปสติกให้อยู่ตัว ติดทนนานตลอดวัน โดยไม่ต้องเติมลิปสติกบ่อย ๆ เลยล่ะค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563

3 เคล็ดลับ กินดึกอย่างไรไม่ให้อ้วน...ลดน้ำหนักได้ผลแบบไม่ต้องอดอาหาร

 สาวๆ อาจจะเคยได้ยินว่าหากอยากจะลดน้ำหนักก็ไม่ควรกินเกิน 6 โมงเย็น ซึ่งวิธีการนี้สาวๆ บางคนก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเป็นคนช่างกินหรือชอบกินจุกจิก แต่เป็นเพราะว่าชีวอตประจำวันของเรานั้นถูกบังคับให้เป็นแบบนั้นต่างหากค่ะ


เช่น บางคนเลิกงานตอน 6 โมงเย็นหรือบางคนจำเป็นต้องเข้างานกะกลางคืน แบบนี้จะให้เลี่ยงการกินตอนดึกคงยากค่ะ แต่ถ้าเรารู้เคล็ดลับในการ กินตอนดึกไม่อ้วน แล้วล่ะก็ ชีวิตของเราก็จะง่ายขึ้นและไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องน้ำหนักค่ะ ซึ่งเคล็ดลับที่ว่า มีดังนี้ค่ะ

1. กินก่อนนอนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง
     - ข้อสำคัญในการกินดึกยังไงไม่ให้อ้วนก็คือการพยายามจัดเวลากินไม่ไห้ติดกับการเข้านอนของเรามากเกินไปค่ะ ช่วงเวลาที่กำลังพอเหมาะคือกินก่อนเข้านอนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาย่อยอาหารและดึงเอาพลังงานออกมาใช้ ทำให้ไม่เกิดพลังงานสะสมค่ะ

2. กินโดยการเฉลี่ยพลังงาน
    - หากเรารู้แน่ๆ ว่าคืนนี้ต้องอยู่จนดึกและอาจจะมีการกินตอนดึกบ้าง ให้เราลองวางแผนเฉลี่ยการกินแคลอรี่ในแต่ละมื้อเพื่อให้มีโควต้าแคลอรี่เหลือจนไปกินมื้อเย็นได้ค่ะ

เช่น ลดการกินข้าวลงในมื้อเช้าและเที่ยง เพื่อจำกัดให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงและสามารถกินมื้อเย็นหรือมื้อดึกได้ ทำให้การรับแคลอรี่รวมทั้งวันของเราไม่เกินค่ะ แต่อย่างไรก็ตามอาหารที่เราจะกินในมื้อดึกนั้นก็ควรระวังอาหารทั้ง 2 อย่างนี้ไว้ คือ

     - อาหารที่มีไขมัน
     อาหารประเภทผัด ทอด ควรเลี่ยงไปก่อนในมื้อดึกค่ะ เพราะมีไขมันมากและเสี่ยงบทำให้แคลอรี่เกินได้ รวมถึงในตอนกลางคืนนั้นเราไม่ค่อยได้มีกิจกรรมอื่นๆ ที่กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญแล้ว การยิ่งกินไขมันเข้าไปก็จะยิ่งทำให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้นอีกค่ะ

     - อาหารที่มีน้ำตาล
     เช่นเดียวกับอาหารที่มีไขมันค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่เรากินอาหารที่มีน้ำตาลนั้นร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน และทำให้เราไม่เผาผลาญไขมัน ไขมันในร่างกายก็จะสะสมไว้ตามเดิม หนำซ้ำถ้าร่างกายเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลไม่หมด

ก็จะเปลี่ยนน้ำตาลเหล่านั้นมาเป็นไขมันแล้วเก็บไว้ตามหน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นแขนต้นขา เป็นสามารถให้สาวๆ ลดน้ำหนักไม่ได้แถมสัดส่วนยังขยายเพิ่มขึ้นด้วย อาหารที่มีน้ำตาลนั้นจึงไม่เหมาะกับการกินช่วงลดน้ำหนักไม่ว่าจะในมื้อใดก็ตามค่ะ

3. ไม่กินมื้อใหญ่
     ถึงแม้ว่าอาหารที่เราเลือกกินนั้นจะมีแคลอรี่น้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็ได้นะคะ การกินในมื้อดึกก็ควรต้องระวังปริมาณของอาหารที่กินเข้าไปเช่นกัน โดยเราควรจำกัดปริมาณอาหารให้แค่พอหายหิวไม่ใช่การกินจนอิ่มจุก เพราะอาหารนั้นต้องใช้เวลาในการย่อย

บางทีหากกินมากเกินไปกว่าจะย่อยหมดเราอาจจะทนไม่ไหวเผลอเข้านอนไปเสียก่อน ถ้าเป็นแบบนี้รับรองว่าตื่นเช้ามาต้องมีพุงแน่ๆ ค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------